สื่อวิดิทัศน์สำหรับประชาชน

การใช้ยามากเกินจำเป็น (Polypharmacy) จะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่าการช่วยรักษา ดังนั้นการใช้ยาที่ปลอดภัย ควรปฏิบัติดังนี้

1. ไม่ใช้ยาที่ได้ผลเหมือนกันพร้อมกันหลายชนิด

2. ไม่ใช้ยาจากการบอกต่อ หรือโฆษณาเกินจริง

3. ไม่เพิ่มปริมาณยาเอง

4. ควรแจ้งแพทย์และเภสัชกรเมื่อรับยาหลายๆ ที่

           จำไว้ว่า "ควรใช้ยาตามความจำเป็นจากแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น"

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยามากเกินจำเป็นได้ที่นี่

 

ความไม่ร่วมมือในการใช้ยาตามสั่ง (Non-compliance) ผู้ป่วยมักคิดว่าเมื่ออาการหายดีแล้วก็หยุดกินยาได้เอง ซึ่งอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ จึงควรใช้ยาให้ถูกต้องดังนี้

1. ใช้ยาตามวิธีที่ระบุไว้ในฉลาก

2. ใช้ยาต่อเนื่องตามแพทย์สั่ง

3. ห้ามเพิ่ม ลด หรือหยุดยาเอง

"ควรใช้ยาตามแพทย์สั่ง เพื่อให้ได้ผลดีที่สุดในการรักษา"

สามารถกดรับชมสื่อความไม่ร่วมมือในการใช้ยาตามสั่งได้ที่นี่

 

การแพ้ยา (Drug Allergy) การแพ้ยาสามารถเกิดได้กับทุกคน ซึ่งอาการแพ้ยามีหลายอย่าง ตั้งแต่อาการเล็กน้อยไปจนรุนแรงถึงเสียชีวิต ดังนั้นเพื่อลดโอกาสและความรุนแรงในการแพ้ยา ควรปฏิบัติดังนี้

ถ้าเคยแพ้ยา 

     (1) ควรจำชื่อยาและอาการที่เคยแพ้

     (2) แสดงบัตรแพ้ยา หรือแจ้งชื่อยาที่แพ้ทุกครั้งแก่แพทย์และเภสัชกร

ถ้าใช้ยาแล้วมีอาการผิดปกติ

     มีอาการคัน ปากบวม ตามัว เจ็บผิวหนัง หรืออาการอื่นๆ ที่ไม่แน่ใจ ควรหยุดยาที่สงสัยและนำยาไปปรึกษาแพทย์

สามารถกดรับชมสื่อการแพ้ยาได้ที่นี่

 

การเก็บรักษายา (Storage) หากเก็บยาไม่ถูกต้องอาจส่งผลลดฤทธิ์การรักษาและเป็นอันตรายได้ วิธีเก็บยาที่ถูกต้อง คือ

1. เก็บยาในที่แห้ง ปิดสนิท

2. ห้ามเก็บยาในห้องน้ำ ในที่แดดส่อถึง หรือในรถ

3. ยาบางชนิดต้องเก็บในตู้เย็นช่องเย็นธรรมดา ไม่เก็บในช่องแช่แข็ง

4. ไม่แกะยาออกจากแผงล่วงหน้า เพราะยาอาจเสื่อมสภาพ

สามารถกดรับชมสื่อการเก็บรักษายาได้ที่นี่

 

สรรหายา/สมุนไพร/ผลิตภัณฑ์สุขภาพมาใช้ (Self-medication) เราไม่ควรซื้อยา / สมุนไพร / ผลิตภัณฑ์มากินเองตามคำโฆษณาชวนเชื่อ เพราะอาจมีสารที่เป็นอันตรายและส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ยาที่ดีที่สุดและเห็นผลอย่างยั่งยืนสำหรับทุกโรคและทุกคน คือ

1. กินอาหารที่มีประโยชน์

2. พักผ่อนให้เพียงพอ

3. ออกกำลังกานสม่ำเสมอ

สามารถกดรับชมสื่อสรรหายา/สมุนไพร/ผลิตภัณฑ์สุขภาพมาใช้ได้ที่นี่

 

การใช้ยาในผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ (Special Population) ผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ หมายถึง เด็ก ผู้สูงวัย หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมบุตร ผู้ป่วยโรคตับ ผู้ป่วยโรคไต ผู้ป่วยเหล่านี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ยามากขึ้น เพราะอาจเสี่ยงต่อพิษจากยา โดยเฉพาะในเด็กต้องอ่านวิธีการผสมยาและการตวงยาให้ได้ขนาดที่ถูกต้อง และใช้อุปกรณ์ตวงยามาตรฐานเสมอ ก่อนใช้ยาควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยาในผู้ป่วยกลุ่มพิเศษได้ที่นี่ 

 

การใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Rational Drug Use) 

          5 ไม่

          5 ให้

1. ไม่กินยาผิดเวลา

1. ให้อ่านฉลากยาและปฏิบัติตามคำแนะนำ

2. ไม่เพิ่ม ลด หรือหยุดยาเองตามใจชอบ

2. ให้ใช้ยาเมื่อจำเป็น

3. ไม่ใช้ยาของคนอื่น

3. ให้จัดเก็บยาอย่างถูกต้อง

4. ไม่ซื้อยากินเองซ้ำซ้อน

4. ให้นำยามาด้วยเมื่อมาโรงพยาบาล

5. ไม่เชื่อคำโฆษณาเชิญชวน

5. ให้แจ้งชื่อยาที่แพ้เสมอ

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยาอย่างสมเหตุผลได้ที่นี่

 

การใช้ยาให้ถูกกับโรคนั้นมีหลัก 5 ประการเพื่อให้เกิดการใช้ยาที่ถูกต้อง

1. ใช้ยาให้ถูกโรค

2. ใช้ยาให้ถูกคน

3. ใช้ยาให้ถูกเวลา

4. ใช้ยาให้ถูกขนาด

5. ใช้ยาให้ถูกวิธี

การเลือกใช้ยาควรเป็นหน้าที่ของแพทย์หรือเภสัชกรในการวินิจฉัยโรคและจ่ายยา หากมีความจำเป็นต้องซื้อยาทานเองต้องปรึกษาเภสัชกรทุกครั้ง

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยาให้ถูกกับโรคได้ที่นี่

 

การใช้ยาให้ถูกเวลานั้นมีข้อกำหนดระยะเวลาในการทานยา และกรณีลืมทานยา ดังนี้

1. ยาก่อนอาหาร

ควรรับประทานตอนท้องว่าง หรือก่อนอาหาร 15-20 นาที เพื่อให้ยาถูกดูดซึมได้ดีที่สุด และเกิดประสิทธิผลในการรักษา

2. ยาหลังอาหาร 

เพื่อให้อาหารมาช่วยในการดูดซึมยา จึงรับประทานหลังอาหาร

3. ยาหลังอาหารทันที 

จำเป็นต้องมีอาหารรองท้องและทานหลังอาหารทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร

4. ยาก่อนนอน

ทานก่อนนอนเวลากลางคืน

เมื่อลืมทานยา : ห้ามเพิ่มขนาดยาในการทานมื้อถัดไป

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยาให้ถูกเวลาได้ที่นี่

 

การใช้ยาพาราเซตามอลอย่างถูกต้อง ต้องคำนวณตามน้ำหนักตัว เพราะการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดมีผลอันตรายต่อตับ 

ห้ามทานยาพาราเซตามอลเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อครั้ง

ห้ามทานยาพาราเซตามอลเกิน 4,,000 มิลลิกรัมต่อวัน

สามารถกดรับชมสื่อการใช้ยาพาราเซตามอลอย่างถูกต้องได้ที่นี่

 

การดื้อยา

ปัจจุบันเชื้อดื้อยาเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น ตามผลการวิจัยระบุว่า ทุกๆ 15 นาที จะมีคนไทยเสียชีวิตจากเชื้อดื้อยา ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่ใช่ยาแก้อักเสบ และยาปฏิชีวนะใช้กำจัดเชื้อเฉพาะแบคทีเรียเท่านั้น การใช้ยาไม่ตรงข้อบ่งชี้ เช่น การกินยาปฏิชีวนะเผื่อไว้ก่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการเจ็บคอส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัสหากทานยาปฏิชีวนะจะเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาเป็นต้น

สามารถกดรับชมสื่อการดื้อยาได้ที่นี่

 

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำเป็นกับร่างกายเราหรือไม่ ?

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่ใช่ยา ไม่สามารถรักษาโรคได้ หากทานอาหารครบ 5 หมู่ ก็จะได้รับสารอาหารครบถ้วน

ก่อนเลือกทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควรปรึกษาเภสัชกร

สามารถกดรับชมสื่อผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจำเป็นกับร่างกายเราหรือไม่ได้ที่นี่

 

ยาชุดอันตราย

ยาชุดมีสารอันตราย หากทานยาชุดเป็นเวลานานอาจทำให้ ไตฝ่อ ไตวาย กระดูกหักง่าย ตาเป็นต้อหิน ต้อกระจก นอนไม่หลับ หงุดหงิดง่าย เลือดออกในกระเพาะอาหาร หรืออาจติดเชื้อเป็นอันตรายถึงชีวิต การใช้ยาทุกครั้งควรปรึกษาเภสัชกร

สามารถกดรับชมสื่อยาชุดอันตรายได้ที่นี่

 

ยาพาราเซตามอลสำหรับเด็ก

วิธีคำนวณยาพาราเซตามอลในเด็ก สิ่งที่ต้องรู้ คือ (1) น้ำหนักตัวและอายุ  (2) ความเข้มข้นของยาใน 1 ช้อนชา

การคำนวณ : เด็กได้ยา 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม

น้ำหนักตัว (กิโลกรัม) X ปริมาณยาที่ต้องใช้ (10-15 มิลลิกรัม)

สามารถกดรับชมสื่อยาพาราเซตามอลสำหรับเด็กได้ที่นี่

 

อันตรายจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดความอ้วน

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารควรได้รับคำแนะนำจากเภสัชกร เพราะบางผลิตภัณฑ์อาจใส่สารไซบูทรามีน ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางที่จะไปลดสารสื่อประสาท ส่งผลให้ไม่รู้สึกหิว อืลิ่มเร็วขึ้น ปากแห้ง คลื่่นไส้ ไตวาย ท้องผูก ระบบทางเดินอาหารผิดปกติ ปวดหัว นอนไม่หลับ มีโอกาสเสี่ยงโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดตีบตัน อาจเสียชีวิต การทานอาหารที่มีประโยชน์ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

สามารถกดรับชมสื่ออันตรายจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารลดความอ้วนได้ที่นี่

 

การเช็ดตัวเด็กเมื่อเป็นไข้

การชักเมื่อไข้สูงมักไม่เกิดในเด็อายุ 6 ปีขึ้นไป การรักษาไข้ไม่ใช่การรักษาอุณหภูมิให้ปกติ แต่เป็นการลดความทุกข์ทรมานจากพิษไข้เท่านั้น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจะทำให้ร่างกายได้พักผ่อนเต็มที่ เม็ดเลือดขาวจะทำงานได้ดี และร่างกายจะเยียวยาตัวเองได้ ดังนั้นการปลุกเด็กขึ้นมาเช็ดตัวเมื่อหลับแล้วไม่ควรทำ

สามารถกดรับชมสื่อการเช็ดตัวเด็กเมื่อเป็นไข้ได้ที่นี่

 

ยาปฏิชีวนะ เป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Antibiotic) ใช้รักษาเฉพาะกับโรคทีติดเชื้อแบคทีเรีย

ยาแก้อักเสบ (ยาต้านอักเสบ) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ลดอาการอักเสบ ลดอาการปวด บวม แดง ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย

"ยาปฏิชีวนะ ≠ ยาแก้อักเสบ"

สามารถกดรับชมสื่อ ยาปฏิชีวนะ ไม่ใช่ ยาแก้อักเสบได้ที่นี่

 

รณรงค์ซองยาต้องมีชื่อยา - โครงการรณรงค์เขียนชื่อยาบนซองยา

          ลดปัญหา

                         - การแพ้ยาซ้ำ

                         - ได้รับยาเกินขนาดซ้ำซ้อน

                         - ขาดการรักษาต่อเนื่อง

                         - เสียทรัพย์โดยเปล่าประโยชน์

                        

สามารถกดรับชมสื่อซองยาต้องมีชื่อยาได้ที่นี่ - เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค จ.อุบลราชธานี